คลิกที่รูป เพื่อเอาโค้ดรูปนี้ไปแปะ

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เข้าเรียนครั้งที่ 1


                                                              เข้าเรียนครั้งที่ 1

วันที่ 2 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
      
         การเรียน การสอน
     -อาจารย์เเจกกระดาษให้ตัวเองเช็คชื่อ ด้วยตัวเอง
    -อาจารย์ให้เเจกกระดาษคนละแผ่นในชั้นเรียน    
    -จากนั้นอาจารย์ก็ให้ทุกคนเเสดงความคิดเห็นว่าวิชาที่เคยเรียนในภาคเรียนที่เเล้วคือวิชาการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยกับวิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยมีความเเต่งต่างกันอย่างไรบ้าง   
             
จากกระดาษที่อาจารย์เเจก กระดาษให้เขียนงาน 2 ข้อ
  1. ให้เขียนความหมายของวิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยตามความเข้าใจมา 2 ประโยค
                         
 2. ให้เขียนสิ่งที่คิดว่าจะได้รับจากการเรียนวิชาการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย

- อาจารย์ให้แสดงข้อตกลงกันว่า กลุ่ม102ว่าคาบนี้จะเลิกไปทำบล็อกจะให้อาจารย์ปล่อยก่อน 40 นาทีเพื่อไปทำงานบล็อก หรือว่าเรียนเต็มคาบเพื่อกลับไปทำงานบล็อกที่บ้าน กลุ่ม102 ตกลงกันว่าจะให้อาจารย์ปล่อยก่อน 40 นาทีเพื่อไปทำบล็อกของตัวเอง เเละอาจารย์ก็จะตรวจดูความคืบหน้าของบล็อกที่ทำทุกคาบทุกวันเสาร์ 17.00-18.30 น.






ความเข้าใจในห้องเรียน
  - สิ่งที่เเตกต่างสำหรับวิชาการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยกับวิชาการจัดประสบการณ์    คณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยคือ คำว่า ภาษา เเละคณิตศาสตร์
 - เมื่อเราทำอะไรบ่อยๆฟังเเล้วมีการจดบันทึก และติดตาม จะทำให้เราเกิดการเรียนรู้
 - พัฒนาการ คือ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
 - การเรียนรู้ คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ที่ดีขึ้นไป
 - วุฒิภาวะ คือ ความสามารถในแต่ละช่วงวัย


                                                               ฉันทำเองเลยนะ

ทำขึ้นโดย นางสาวกมลวรรณ ศรีสำราญ
  


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์







               ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว  (Sensori-Motor  Stage)  ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี  พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่  เช่น  การไขว่คว้า  การเคลื่อนไหว  การมอง  การดู  ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ  เด็กสามารถแก้ปัญหาได้  แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด  เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง  ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้  มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว  เช่น  สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ  และสายตา  เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ  เป็นการเลียนแบบ  พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ  เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น                       

                ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์

          

           บรุนเนอร์ (Bruner) เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจและศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง     (discovery learning)      แนวคิดที่สำคัญ ๆ ของบรุนเนอร์
                        ทฤษฎีการเรียนรู้  
 1 การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์ และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก  
 2 การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิ
 3 การคิดแบบหยั่งรู้ (intuition) เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระที่สามารถช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้   
4 แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้   
5 ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ขั้นใหญ่ ๆ คือ                
          5.1 ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ             
          5.2 ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้                 
          5.3 ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
  6 การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถจัดประเภทของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม7) การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุด คือ การให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (discovery  learning)


















                        



1 ความคิดเห็น: